ปัญหาใหญ่ของผู้ศึกษาและปฏิบัติในแนวทาง"ปฏิจจสมุปบาท"แล้ว คือระลึกรู้ไม่เท่าทันเวทนา ก็เนื่องจากแยกแยะเวทนา หรือจิตอันหมายถึงจิตสังขารไม่แจ่มแจ้งไม่ชัดเจน ทั้งสองต่างถือเป็นหัวใจในการใช้ปฏิจจสมุปบาทในการปฏิบัติ รวมทั้งสติปัฏฐาน ๔ มักมองเห็นแต่ จิตสังขารหรือความคิด อันเป็นผลแล้ว หรืออาจ"เป็นผลที่ตัณหาได้กระทำลงไปแล้ว คือเป็นอุปาทานสังขารขันธ์ คือจิตสังขารที่ประกอบด้วยอุปาทาน อันเป็นอุปาทานทุกข์" ทั้งๆที่รู้ว่าเพราะ "เวทนา เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ตัณหา" แต่เพราะการที่ไม่"โยนิโสมนสิการ" จึงแยกแยะเวทนากับจิตสังขารหรือความคิด(สังขารขันธ์) ซึ่งเป็นคนละขันธ์คนละกองกันไม่ออก กล่าวคือ เวทนาขันธ์และสังขารขันธ์ จึงมองไม่เห็นว่าเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาโดยตรง ไม่ใช่จิตสังขารหรือความคิดที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาโดยตรง ซึ่งเป็นการแยกแยะโดยปัญญาหรือความเข้าใจ(ไม่ใช่การไปเห็นหรือรู้สภาพจิตกำลังทำงานเป็นขั้นๆเป็นตอนๆทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน) เมื่อไม่เข้าใจจึงทำให้มองเห็นเวทนาและสังขารขันธ์คิด คลุกเคล้ากลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันหรือสิ่งเดียวกันไป ทำให้การปฏิบัติสับสนไม่ก้าวหน้าเพราะปฏิบัติไม่ถูกเป้าหมาย อันคือ “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ เหตุดับธรรมนั้นก็ดับ”
พิจารณาในกระบวนธรรมแบบขันธ์ ๕ โดยนำไปพิจารณาเกี่ยวกับวงจรปฏิจจสมุปบาท ที่เกิดขึ้นที่สฬายตนะ และ สังขาร(ในปฏิจจสมุปบาท) อย่างย่อ
รูป ตา วิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ - กระทำทางกาย,วาจา,ใจคิดนึก
นี้คือขันธ์ ๕ อันเกิดแต่สฬายตนะ(ตา) รูป(รูปในอายตนะภายนอก)เป็นเหตุจึงมีเวทนา และเวทนาเป็นเหตุปัจจัยจึงมีผลเป็นสังขารขันธ์ เช่น คิดขึ้น
สังขาร(คิดหรือธรรมมารมณ์) ใจ วิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ - กระทำทางกาย,วาจา,ใจคิดนึก<
นี้คือขันธ์ ๕ อันเกิดแต่สฬายตนะ(ใจ) และ สังขารที่สั่งสมอบรมไว้(ในวงจรปฏิจจสมุปบาท) คือ คิดนึกจากทุกข์เก่าๆอันเนื่องมาจากอาสวะกิเลส(อันเป็นเช่นธรรมารมณ์หรือคิดในอายตนะภายนอกเช่นกัน) ทำหน้าที่เป็นเหตุจึงมีเวทนา, และเวทนาเป็นเหตุจึงมีสังขารคิด แต่เป็นคิดอย่างเป็นฝ่ายผลเช่นกันกับขบวนการแรก
จากขันธ์ ๕ ทั้ง ๒ แบบนี้ จักแยกให้เห็นได้ชัดเจนว่า เพราะเวทนา เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดสังขารขันธ์อันคือความคิดต่างๆได้
ถ้าเราหยุดหรือผ่ากระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ออกเป็น ๒ ส่วน ตรงตำแหน่งเวทนาที่เกิดขึ้น, แล้วขณะเกิดเวทนาขึ้นนั้น แทนที่จะดําเนินต่อไปตามกระบวนธรรมของชีวิตตามปกติหรือขันธ์ ๕ เวทนานั้นกลับไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นมาเสียก่อน กระบวนธรรมของจิตจึงแปรเป็นไปดังนี้.........
เกิดตัณหา อุปาทานจึงเกิดขึ้น และเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ และเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ อันคือการเริ่มเกิดของกองทุกข์
จึงเป็นไปดังนี้
แล้วขันธ์ ๕ ก็ดำเนินต่อไปเพื่อให้จบกระบวนธรรม แต่ขันธ์ที่เกิดต่อไปนั้น มีการแปรปรวนไปกล่าวคือย่อมประกอบด้วยอุปาทาน ดังตัวอย่างนี้
นี้คือขันธ์ ๕ อันเริ่มต้นเป็นอุปาทานทุกข์จริงๆ อันมีเวทนาเป็นเหตุปัจจัยโดยตรงให้เกิดต้นขบวนของทุกข์อันคือตัณหา อันยังให้เกิดอุปาทานตามมา (รูป ตา วิญญาณ ก็เป็นเหตุแต่แก้ไขไม่ได้ เป็นสภาวธรรม ต่างก็ทําหน้าที่แห่งตน)
เวทนา คือการเสวยอารมณ์ นั้นเป็น"เพียงความรู้สึกในการรับรู้" ตามธรรมชาติ และเป็นเพียงการรับรู้ *ความรู้สึก* ที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือเฉยๆที่มีต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์(คิด)ที่กระทบ (รูป เสียง....อายตนะภายนอกทำหน้าที่เป็นอารมณ์คือสิ่งที่จิตยึดเหนี่ยว)ดังตัวอย่างเวทนาต่างๆ ณ ที่นี้เราเพิ่มสัญญาความจำเพื่อขยายรายละเอียดขันธ์ ๕ เพิ่มขึ้นเข้าไปด้วยเพื่อให้เห็นรายละเอียดในการเกิดของเวทนาได้แจ่มแจ้งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น